วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จดหมายเหตุ มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์


ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีบุคคลสำคัญชาวฝรั่งเศส ๒ คน ได้เดินทางสู่กรุงสยาม ในฐานะ อัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส คือบาทหลวงตาชาร์ด กับ นายเดอลาลูแบร์ สำหรับบาทหลวงตาชาร์ด ได้เดินทางมายังประเทศไทยสมัย พระนารายณ์มหาราช ถึง ๓ ครั้ง ครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๖๘๕ (พ.ศ. ๒๒๒๘) ครั้งที่ ๒ มาพร้อมกับ ลาลูแบร์ ในปี ค.ศ. ๑๖๘๗ (พ.ศ. ๒๒๓๐) ครั้งที่ ๓ ในปี ค.ค. ๑๖๙๙ (พ.ศ. ๒๒๔๒) ภาระสำคัญของบาทหลวงตาชาร์ดคือ หาทางเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นคริสตัง ในคริสตศาสนาโรมันคาทอลิค แต่ไม่สำเร็จ เพียงแต่ทรงอนุญาตว่า ผู้ใดจะเป็นคริสตังหรือไม่ก็ได้ไม่ห้ามสำหรับนายลูแบร์ผู้เดินทางมาพร้อมกับบาทหลวงตาชาร์ดครั้งที่ ๒ ถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ค.ค. ๑๖๘๗ และเดินทางกลับเมื่อ วันที่ ๓ มกราคม ค.ค. ๑๖๘๘ รวมเวลาที่ ลาลูแบร์ พักอยู่ในประเทศไทย เพียง ๓ เดือน กับ ๖ วัน คือ ไม่ถึง ๑๐๐ วันเต็ม ภาระกิจสำคัญของลาลูแบร์ นอกจากจะทำหน้าที่ในฐานะอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มแล้ว ยังต้องทำหน้าที่รายงานสิ่งที่ได้พบเห็น หรือได้ทราบเรื่องราวต่าง ๆ ของประเทศสยามให้ผู้บังคับบัญชาที่ยู่เหนือได้ทราบอย่างละเอียดอีกด้วย และในหลายเรื่องที่นายลาลูแบร์ได้บันทึกเอาไว้นี้ก็มีเรื่องราวทางดนตรีไทย ปนอยู่มิใช่น้อย ถ้าไม่คิดรังเกียจว่าฝรั่งเป็นผู้จดบันทึก ก็นับว่ามีค่าที่จะนำเป็นข้อมูลเพื่อการศึกษาค้นคว้าต่อไปบันทึกของลาลูแบร์ในส่วนที่เกี่ยวกับเมืองไทยนั้น ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นพากย์ภาษาไทย โดยนักเขียนคนสำคัญ ๒ ท่าน ท่านแรกเป็นพระนิพนธ์แปลในสมเด็จฯ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ที่ทรงนิพนธ์แปลจากต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษที่มีชื่อว่า A New Historical Relation of the Kingdom of Siam by Monsieur de la Lubere โดย A.P. Ger R.SS. เป็นผู้แปลมาจากภาษาฝรั่งเศสอีกต่อหนึ่ง อีกสำนวนหนึ่ง แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร จากต้นฉบับที่เป็นภาษาฝรั่งเศสตามรหัสทะเบียนหนังสือของหอสมุดแห่งชาติคือ Loubere, de la : Du Royaume de Siam, 1691Amsterdam: V.1-28 A 0045-8 A.0421ส่วนเรื่องต่าง ๆ เท่าที่ลาลูแบร์ได้บันทึกเอาไว้ แบ่งออกเป็น ๓ ตอน ตอนแรกว่าด้วยประเทศสยามตามสภาพทางภูมิศาสตร์ ตอนที่ ๒ ว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวสยามโดยทั่ว ๆ ไป และตอนที่ ๓ ว่าด้วยจารีตของชาวสยามตามชั้นบุคคลในฐานะต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละตอยที่จะมีรายละเอียดอีกมากมายจนแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ระยะเวลาเพียง ๓ เดือนเศษ ที่ลาลูแบร์พำนักอยู่ในสยามได้พบเห็นเรื่องราวของชาวสยามได้ละเอียดละออ ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ซึ่งที่จริงแล้ว ก่อนที่ลาลูแบร์จะได้เดินทางเข้ามาสัมผัส กับชาวสยามโดยตรง ลาลูแบร์ได้ศึกษาถึงรายละเอียด เกี่ยวกับชาวสยามมาเป็นอย่างดีแล้ว ยิ่งเขาได้มาพบด้วยตนเองด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้แต่ละเรื่องที่เขาบันทึกก็ยิ่งละเอียดละออมากขึ้น ปัญหาที่น่าขบคิดคือ เราไม่ทราบว่าส่วนใดที่ลาลูแบร์ได้ศึกษามาก่อนหรือส่วนใดที่ลาลูแบร์ได้พบเห็น ด้วยตัวของตัวเอง นอกจากจะคิดเป็นส่วนรวม ว่าทั้งหมดล้วนแต่เป็น ประสบการณ์ของลาลูแบร์สำหรับเรื่องราวทางดนตรี ทั้งที่เป็นดนตรีโดยตรงและดนตรีแฝง ทั้งหมดจะอยู่ในตอนที่ ๒ ที่ว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวสยาม นอกจากเพลงสายสมร ที่บันทึกเป็นโน้ตสากลสอดแทรกไว้ลอย ๆ ในตอนท้ายของบทที่ ๕ ว่าด้วยแบบแผนการตุลาการ ซึ่งเป็นบทหนึ่งของตอนที่ ๓ ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับดนตรีเลยดนตรีไทยตามที่ลาลูแบร์ได้พบ เขาพยายามที่จะพรรณนา และวิเคราะห์ไปตามความรู้ลึกของเขา ส่วนที่จะผิด ถูกเพียงใดแค่ไหน เป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาเอาเอง เพราะเขาพยายามนำเอาระเบียบทางดนตรี อย่างตะวันตก มาเป็นแนวเทียบ ที่พอจะสรุปได้ดังนี้

๑. ในด้านระเบียบทางดนตรีหรือจะกล่าวรวม ๆ ไปว่า "ทฤษฎีทางดนตรี"๑.๑ ไม่รู้จักวิธีสร้างโน้ตเก็บเสียงตามมาตราเพลงเอาไว้๑.๒ ไม่มีจังหวะจะโคน๑.๓ ในการขับร้อง ไม่มีเสียงสั่นลงลูกคอ มีการร้องเอื้อนเสียงโดยไม่มีเนื้อเพลง หากจะทำเสียงแทนที่เนื้อเพลง เขาจะออกเสียง หน่อย นอย (noi, noi)๑.๔ เพลงร้องของชาวสยามนิยมเสียงค่อนข้างสูง ไม่มีเสียงทุ้มเลย แม้แต่เพลงพระยาเดินในขณะเสด็จพระราชดำเนิน ล้วนแต่มีเสียงค่อนข้างสูงทั้งสิ้น๑.๕ เวลาบรรเลง ไม่รู้จักแยกเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ ในวง๑.๖ ไม่รู้จักการขับร้องประสานเสียง มีแต่ขับร้องไปพร้อม ๆ กัน๒. ในด้านเครื่องดนตรี ลาลูแบร์ได้เห็นเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น๒.๑ ชาวสยาม มีเครื่องดนตรีฝีมือหยาบ ๆ อย่างหนึ่ง มี ๓ สาย เขาเรียกว่า "ซอ" (tro) กับ haut - bois เสียงแหลม เขาเรียกว่า ปี่ เล่น แต่ละใบมีคานสอดพาดบนขาตั้งสองด้าน ใบหนึ่งเรียกว่า โฉ่ง ฉ่าง (Schoung - Schang) อีกใบหนึ่ง กว้างกว่า บางกว่า เรียกว่า ฆ้อง (Cong)๒.๒ ตะลุงปุงปัง (Tloun pounpan) มีขนาดเท่ากลองรำมะนาของเรา แต่ขึงหนังทั้งสองหน้าเหมือนกลองจริง ๆ ทั้งสองข้างของตัวไม้ มีลูกตุ้มตะกั่วผูกเชือกติดอยู่ ที่ตัวกลองมีไม้เสียบเป็นคันถือ เวลาควงข้อมือ ลูกตุ้มจะแกว่งไปกระทบหน้ากลองทั้งสองด้าน๒.๓ ตะโพน(Tapon) รูปร่างเหมือนถังไม้ที่ใช้หมักเหล้ามีเชือกผูกโยงแขวนคอไพล่มาไว้ข้างหน้าผู้เล่น แล้วใช้กำปั้นทุบหน้ากลองทั้งสองด้าน๒.๔ เครื่องดนตรีที่ประกอบด้วยลูกฆ้อง ซึ่งเขาเรียกว่า พาทย์ฆ้อง(pat cong) ลูกฆ้องนั้น ล้วนผูกไว้ต่อ ๆ กับไม้สั้น ๆ ติดตั้งในทางราบ อยู่บนขอบไม้รูปครึ่งวงกลม ผู้เล่นนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงศูนย์กลางแล้วตีลูกฆ้องด้วยไม้ ๒ อัน เครื่องดนตรีชนิดนี้จะมีเพียง ๕ ระดับเสียง เป็นคู่กันไปเท่านั้น๒.๕ การขับร้องประกอบดนตรี ลางทีใช้ไม้ ๒ ชิ้นสั้น ๆ เรียกว่า กรับ(crab) ขยับกระทบกันไปพร้อมกับการขับร้อง ผู้ร้องเรียกว่า ช่างขับ (Tchang - cab) ๒.๖ แตร (tre) คงเป็นเครื่องเป่าของฝรั่ง เนื่องจากลาลูแบร์บันทึกไว้ว่า "ชาวสยามชอบแตรของเราเป็นที่สุด …"๒.๗ กลอง (elong) มีขนาดย่อมกว่ากลองของเรา แต่มิได้ใช้คล้องไหล่ หากเอาหน้ากลองด้านหนึ่งตั้งลงกับพื้น แล้วตีอีกหน้าหนึ่ง คนตีนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่หน้ากลอง เขาใช้กลองนี้ตีควบไปกับการขับร้องด้วย แต่จะตีกลองควบกับการขับร้องเฉพาะในการฟ้อนรำเท่านั้น๓. ในด้านบทบาทของเครื่องดนตรี ที่สำคัญคือ ๓.๑ ใช้ประโคม เช่นใช้ประโคมเวลาเสด็จพระราชดำเนิน หรือเข้าในกระบวนแห่ ลาลูแบร์ตอนที่ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ฯ ในลานพระราชมนเทียรด้านในว่า เห็นมีคนตั้งร้อยหมอบอยู่เป็นแถว ลางคนก็ถือแตรเล็กฝีมือหยาบ ๆ นั้นไว้เพื่ออวดโดยมิได้เป่าเลย สงสัยว่าจะทำด้วยไม้ ลางคนก็มีกลองใบย่อม ๆ วางไว้ตรงหน้าแต่ไม่เห็นได้ตี เป็นต้น๓.๒ ใช้ประกอบการแสดงโขนละคร หรือระบำ๔. ในด้านบทเพลง มีเพลงเดียวที่บันทึกด้วยโน้ตสากล ที่เราเรียกชื่อไปตามเนื้อร้องที่ขึ้นต้นว่า "สายสมรเอย…" ว่า เพลงสายสมร แต่เขาเขียนไว้ตรงตอนบนของบทเพลงไว้ว่า "Chancon" และ "Siamoife" ซึ่งไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร บางคนเรียกเลยเถิดไปถึงเพลงสรรเสริญพระนารายณ์ ก็ยังมี ทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้อความใดที่กล่าวถึงสมเด็จพระนารายณ์ฯ เลย นอกจากมีทำนองเข้าใจว่าคงมีเสียงเอื้อนนิดหนึ่งในคำ "Tehiong" ที่บังเอิญมีทำนองตรงกับเพลงสรรเสริญพระบารมีในปัจจุบันแค่นิดเดียว ถึงกับยกให้เป็นเพลงสรรเสริญพระนารายณ์ฯเชียวหรือ ทั้ง ๆ ที่คำร้องเป็นแต่เพียงบทสังวาสเท่าที่ได้กล่าวมา ไม่ว่าลาลูแบร์จะบันทึกผิดหรือถูก แต่ก็ถือว่า เป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด เท่าที่ปรากฏในหลักฐานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม ศิลาจารึกหรือภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทั้งให้ความกระจ่างชัดที่เรารับได้ ทำให้เราได้ทราบถึงชื่อของเครื่องดนตรี รูปร่าง เสียง วิธีบรรเลง บทบาทของดนตรี การขับร้องที่ส่วนใหญ่ยังคงตรงกับปัจจุบัน ผิดกับหลักฐานอื่น ๆ ที่มีเพียงแต่ชื่อ แถมมีชื่อแผลง ๆ ก็ยังมี เพราะผู้บันทึกมิใช่เป็นนักดนตรี แต่เป็นกวีบ้าง นักธรรมะผู้ใฝ่ในธรรมบ้าง ที่คิดอะไรได้ก็ใส่ลงไปอันการบันทึกของลูแบร์ บางอย่างก็ชัดเจน บางอย่างต้องตีความ เพราะเขาบันทึกตามที่เขาเห็นแล้วนำมาเปรียบเทียบกับของเรา สิ่งที่เราต้องตีความเช่น เมื่อพรรณนาถึง พาทย์ฆ้อง ก็น่าจะเป็น ฆ้องวง หรือเมื่อกล่าวถึงกลอง ที่มีคนตีนั่งขัดสมาธิอยู่หน้ากลองก็น่าจะเป็นกลองทัดและคงมีลูกเดียว แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่ลาลูแบร์มิได้กล่าวถึงระนาดเลย คิดว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่ลาลูแบร์จะไม่เห็น อาจเป็นเพราะสมัยนั้น ยังไม่มีระนาดก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ที่ลาลูแบร์บันทึกแล้วอธิบายอย่างมั่ว ๆ ก็มี เช่น เห็นมีคนตั้งร้อยบ้างก็ถือแตร บ้างก็มีกลองวางไว้ข้างหน้า แต่หาได้เป่าหรือตีไม่ คงมีไว้เพื่ออวดคือมีไว้โก้ ๆ ซึ่งเรื่องนี้ ลาลูแบร์โง่ถนัด เพราะก็เห็นอยู่แล้วว่า พวกเขาเหล่านั้นกำลังหมอบเฝ้ารับเสด็จอยู่จะให้เขาบรรเลงได้อย่างไร หรือยิ่งไปกว่านี้ เมื่อเขาได้เห็นชาวสยามเก็บพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ไว้ภายในพระเจดีย์ ที่เขาเรียกว่า พีรามิด เขาได้พรรณนาเอาไว้ว่า"… พีรามิดเหล่านี้เรียกว่า พระใจดี (Pra Tchiai - di) พระ เป็นคำภาษาบาลี ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอยู่บ่อย ๆ แล้ว ใจดี หมายความว่า ดีใจ (coeur - bou) คือความพอใจ (contente ment) เพราะฉะนั้น พระใจดี ก็อนุโลมว่า การพักผ่อนอันศักดิ์สิทธิ์ (repos sacre) ด้วยคำว่าการพักผ่อนกับความพอใจนั้นมีความหมายคล้ายคลึงกันอยู่…"เรื่องที่ฝรั่งแปลคำ "พระเจดีย์" ว่า "พระดีใจ" นั้น ได้มาเกิดอีกครั้งสมัยรัชกาลที่ ๔ สมัยนี้ได้มีการว่าจ้างแหม่มฝรั่งชาวอเมริกัน นางหนึ่ง เห็นเรียกกันว่า แอนนา เล็นส์โนเวล บ้างเรียกว่า แอนนา เลียวส์โนเวล บ้าง แต่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกว่า แหม่มแอนนา เพื่อเข้ามาสอนภาษาอังกฤษแก่พระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะเดียวกัน แหม่มแอนาคงจะต้องศึกษาภาษาไทยด้วย แกได้คิดวิธีแปลคำไทยให้เป็นภาษาอังกฤษ เท่าที่ปรากฎเป็นตัวอย่างพบ แต่ที่เป็นคำประสมเช่น แปลคำ "ลูกปืน" ว่า son of a gun แปลคำ "แม่น้ำ" ว่า mother of water แปลคำ "น้ำเสียง" ว่า water of the sound ซึ่งคำเหล่านี้พอรับฟังได้ แต่พอไปแปลคำ "พระเจดีย์" ว่า "The Lord delighted แล้วมันมิได้แปลว่า พระเจดีย์ ตามที่เราเข้าใจแต่จะแปลว่า "พระดีใจ" ซึ่งเป็นคนละความหมาย แหม่มแอนนาคงจะรู้ภาษาสันสกฤตอยู่บ้างกระมัง คำ "เจดีย์" ในภาษาไทย บาลีเขาออกเสียงเป็น "เจติยะ" สันสกฤตเขาออกเสียงเป็น "ไจติยะ" ซึ่งแหม่มแอนนาคงจะแผลต่อเป็น "ใจดี" แล้วแกคงคิดว่า พระเจดีย์ หรือพระดีใจ คงมีความหมายเหมือนกัน เข้าตำราฟังไม่ได้ศัพท์จับเอามากระเดียด หรือ รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ ทำนองนั้นที่จริงคำว่า เจติยะ หรือ ไจติยะ แปลว่า ถึงคิดถึง พึงระลึกถึง คำที่เราเรียก พระเจดีย์ หมายความว่า สิ่งที่เราทำขึ้นเพื่อให้เราระลึกถึงในสิ่งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนี้ก็เป็นข้อคิดอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่ฝรั่งคิด ฝรั่งทำ ใช่ว่าจะดีหรือถูกต้องเสียทุกอย่างไปแม้ว่า การบันทึกของลาลูแบร์จะบกพร่องไปบ้าง แต่ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่และชีวิตของชาวสยามอีกมากมาย เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ควรแก่การยกย่องและที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทำให้เรารู้จักว่า ชาวสยามหรือคนไทยคือใคร
โดย คีตพจน์
: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=26450

งาน DPU








จุดลงทะเบียนทางเข้างาน เราจะเห็นจุดนนี้ก่อนเลยนะคะ








กัปตันแจ๊คผู้น่ารัก




ระหว่างทางเดินเราจะเจอป้ายประกาศตัดการ์ตูนต่างๆ อยู่สองข้างทางนะคะ ^^






























































































































































































































วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร วัดไทยแห๋งเดียวในประเทศที่สร้าแบบสถาปัตยกรรมแนวยุโรป ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากการเสด็จประพาสหัวเมือง ทำให้คนไทยได้เห็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกไว้เป็นซึ่งสมบัติของชาติ นั่นคือ พระอุโบสถของวัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโกธิกซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมยุค เรอเนสซองซ์ วัดเดียวในประเทศไทย หรืออาจเป็นโบสถ์วัดพุทธแห่งเดียวในโลกที่มีอุโบสถโกธิกเป็นได้

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

Forever - Drake Featuring Kanye West - Lil Wayne & Eminem

Forever - Drake Featuring Kanye West - Lil Wayne & Eminem

It may not mean nothing to y'all. But understand nothing was done for me.
So I don't plan on stopping at all. I want this shit forever, mayne (ever, mayne) I'm shutting shit down in the mall.
And tellin' every girl she the one for me.
And I ain't even planning to call .I want this shit forever, mayne (ever, mayne, ever, mayne) (Ay, ay, ay, ay, ay, ay) (Ay, ay, ay, ay, ay, ay). Last name Ever, first name Greatest Like a sprained ankle, boy, I ain't nothin' to play with Started off local, but thanks to all the haters. I know G4 pilots on a first-name basis. In your city faded off the brown, Nino. She insists she got more class, we know. Swimming in the money, come and find me, Nemo. If I was at the club you know I balled chemo. Dropped a mixtape, that shit sounded like an album. Whoda thought a country-wide tour be the outcome. Labels want my name beside an X like Malcolm. Every got a deal, I did it without one. Yeah, nigga, I'm about my business. Killin 'all these rappers, you would swear I had a hitlist. Everyone who doubted me is askin 'for forgiveness. If you ain't been a part of it, at least you got to witness. Bitches Bitches. It may not mean nothing to y'all. But understand nothing was done for me. So I don't plan on stopping at all. I want this shit forever, mayne (ever, mayne). I'm shutting shit down in the mall. And tellin 'every girl she the one for me. And I ain't even planning to call. I want this shit forever, mayne (ever, mayne, ever, mayne). (Ay, ay, ay, ay, ay, ay) (Ay, ay, ay, ay, ay, ay).
I used to have hood dreams: Big fame, big chains. I stuck my dick inside this life until that bitch came. And went hard all fall like the ball teams. Just so I could make it rain all spring. Y'all seen my story, my glory. I had raped the game young, you could call it statutory. me When a nigga blow up, they gon 'build statues from me. Old money, Benjamin Button, what, nothin '. Nah, superbad chicks giving me McLovin '. You would think I ran the world like Michelle's husband. You would think these niggas know me when they really doesn't. Like they was down with the old me, no, you fuckin 'wasn't. Uh, you such a fuckin 'loser. You ain't even go to class, Bueller ". Trade the Grammy plaques just to have my granny back. Member she had that bad hip like a fanny pack? Chasing the stardom'll turn you to a maniac. All the way in Hollywood and I can't even act. They pull they cameras out, and God damn, they snap. I used to want this thing forever, you can have it back. It may not mean nothing to y'all. But understand nothing was done for me. So I don't plan on stopping at all. I want this shit forever, mayne (ever, mayne). I'm shutting shit down in the mall. And tellin 'every girl she the one for me. And I ain't even planning to call. I want this shit forever, mayne (ever, mayne, ever, mayne). (Ay, ay, ay, ay, ay, ay) (Ay, ay, ay, ay, ay, ay).
Okay, hello, it's the Martian, Space Jam Jordans. I want this shit forever, wake up and smell the garden. Fresher than the harvest, step up to the target. If I had one guess, then I guess I'm just New Orleans. And I will never stop, like I'm runnin 'from the cops. Hopped up in my car and told my chauffer "To the top". Life is such a fuckin 'roller coaster, then it drops. But what should I scream for? This is my theme park. My mind shine even when my thoughts seem dark
Pistol on my side, you don't want to hear that thing talk. Let the king talk, check the price and pay attention. Lil Wayne, that's what they got to say or mention. I'm like Nevada in the middle of the summer. I'm resting in the lead, I need a pillow and a cover. Shhh, my foot's sleepin 'on the gas. No brake pads, no such thing as last. Uh (uh) Uh (uh). It may not mean nothing to y'all. But understand nothing was done for me. So I don't plan on stopping at all. I want this shit forever, mayne (Ever, mayne, ever, mayne). I'm shutting shit down in the mall. And tellin 'every girl she the one for me. And I ain't even planning to call. I want this shit forever, mayne (Ever, mayne, ever, mayne, ever, mayne). (Ay, ay, ay, ay, ay, ay) (Ay, ay, ay, ay, ay, ay).
There they go, back in stadiums as Shady spits his flow. Nuts they go, macademia, and they go so ballistic, whoa. He can make them look like bozos, he's wonderin 'if he should spit this slow. Fuck no, don't provoke, his cup just runneth over, oh, no. He ain't had to go to bars like this since the last time he overdosed. They been waitin 'patiently for Pinocchio to poke his nose. Back into the game and they know rap'll never be the same as before. Bashin 'in the brains of these hos, and establishin' a name as he goes. The passion of the flame is ignited, you can't put it out once we light it. This shit is exactly what the fuck that I'm talkin 'about when we riot. You dealin 'with a few true villians who stand inside of the blue troop spillin'. And spit true feelings until them two feelings come flyin 'up out of our months, then rewind it. Payback, motherfucker, for the way you got at me, how's it taste? I'ma slap the taste out of your mouths with the bass so loud that it shakes the place. I'm Hannibal Lecter, soldiers, in case you're thinkin 'of saving face. You ain't gonna have no face to save by the time I'm through with this, play some Drake. It may not mean nothing to y'all. But understand nothing was done for me. So I don't plan on stopping at all. I want this shit forever, mayne (Ever, mayne, ever, mayne). I'm shutting shit down in the mall. And tellin 'every girl she the one for me. And I ain't even planning to call. I want this shit forever, mayne (Ever, mayne, ever, mayne, ever, mayne).